ซื้อประกันรถยังไงให้ถูกลง


วันที่เขียน 2019-06-28 19:39:44
วันที่อัพเดทล่าสุด 2019-07-08 23:04:02

เรื่องประกันรถมีข้อแตกต่างและคล้ายคลึงกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องราคาที่มีข้อสงสัยว่า ทำประกันรถตัวเดียวกัน บริษัทเดียวกัน คนหนึ่งซื้อกับตัวแทน อีกคนหนึ่งซื้อทางออนไลน์ ทำไมราคาถึงต่างกันมาก ทำให้หลายคนที่ซื้อประกันมาแพงกว่าเสียความรู้สึก ซึ่งที่จริงแล้วเรื่องนี้มันมีสาเหตุอยู่ โดยต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ถ้าติดต่อซื้อประกันรถผ่านทางตัวแทน ราคาย่อมแพงกว่าการซื้อโดยตรงผ่านทางออนไลน์ และยังมีเงื่อนไขอีกมากมายที่ทำให้หลายคนสามารถซื้อประกันได้ในราคาที่ถูกลง 

ในบทความนี้ เราจะมาเปิดเผยกันแบบหมดเปลือก เพื่อที่ครั้งต่อไปผู้อ่านอาจซื้อประกันรถได้ถูกลงเกือบครึ่งหนึ่งเลยก็ได้ 

 

ลดความคุ้มครอง 

เมื่อลดความคุ้มครอง เบี้ยประกันก็ลดตาม ซึ่งประกันรถชั้น 1 จะมีกรมธรรม์กำกับมาเสมอว่าต้องคุ้มครองแบบนี้ๆ เท่านั้น ซึ่งบางตัวก็เกินความจำเป็นกับเรามาก แต่รู้หรือไม่ว่า เราไม่จำเป็นต้องฝืนรับเงื่อนไขความคุ้มครองต่างๆเหล่านี้เอาไว้ทั้งหมด เพราะออพชั่นต่างๆที่บริษัทประกันรถได้ให้มา เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ เช่น หากมั่นใจว่าไม่มีทางไปจอดรถในที่สุ่มเสี่ยงหรือมั่นใจว่ารถของเราจะไม่หายแน่ๆ ก็สามารถขอลบความคุ้มครองตรงส่วนนี้ออกไปได้ เพื่อให้เบี้ยประกันรถถูกลงกว่าเดิม ทำให้ซื้อประกันได้ในราคาที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการ   

ซื้อทางออนไลน์ถูกกว่าที่อื่นๆ 

ค่าเบี้ยประกันจะถูกลงอีก เมื่อซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ เนื่องจากการซื้อผ่านทางตัวแทนจำหน่ายต้องมีค่านายหน้าที่ช่วยจัดการเดินเรื่องให้ ทำให้ค่าประกันของเราสูงขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วการซื้อประกันสามารถทำได้เองง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องเสียค่านายหน้าหรือตัวแทน แถมยังช่วยเซฟเงินในกระเป๋าได้อีกเยอะ โดยเราสามารถเข้าไปในเว็บไซต์เกี่ยวกับประกันรถยนต์และเปรียบเทียบบริษัทประกันแต่ละเจ้าได้ว่า แพ็คเกจแบบไหนคุ้มกว่ากัน เจ้าไหนถูกกว่า แพ็คเกจไหนคุ้มครองอะไรบ้าง เว็บไซต์ก็จะเลือกเฟ้นราคาที่ถูกที่สุดมาให้ และในบางเว็บไซต์ยังมีส่วนลดประกันรถสำหรับผู้ที่ชวนเพื่อนมาซื้อประกันอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดเบี้ยประกันไปได้เยอะ

ลดเบี้ยประกันด้วยการเลือกอู่ซ่อมรถ 

การเคลมประกันรถจะมีให้เราเลือก 2 แบบคือ (1) เคลมอู่ (2) เคลมห้าง (เคลมห้างคือ เคลมที่ศูนย์รถ) ในส่วนนี้ค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกัน เพราะเคลมห้างเหมือนได้รับการดูแลที่ได้มาตรฐานจากศูนย์เลย ทำให้เจ้าของรถสบายใจได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนถอดอะไหล่ใหม่แล้วใส่อะไหล่เก่า หรือ โดยเปลี่ยนอะไหล่โดยที่ไม่แจ้งให้ทราบ อย่างไรก็ตาม อู่ซ่อมรถสมัยนี้ ก็ต้องการลูกค้าขาประจำกลับมาใช้บริการกันทั้งนั้น อีกทั้งเรื่องของฝีมือ อู่ซ่อมรถสมัยนี้ก็มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย พร้อมใช้งานเหมือนในศูนย์ทุกอย่าง ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลใจไป เลือกเคลมแบบซ่อมอู่ได้เลย จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันที่ถูกลงหลายพันบาทเลยทีเดียว

ที่มารูปภาพ pixabay.com

ส่วนลดต่างๆที่น่ารู้ 

  • ถ้ารถยนต์ไม่เคยเคลมประกันเลยในปีที่ผ่านมา หรือมีเคลมแต่เราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด จะได้รับส่วนลดประวัติดี โดยจะได้รับส่วนลดเพิ่มตามลำดับขั้นในแต่ละปีสูงสุดถึง 50% (ในกรณีที่ไม่มีการเคลมประกัน 4 ปีติดต่อกัน) ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ
  • ระบุชื่อผู้ขับขี่ ในกรณีที่ต้องการทำประกันรถยนต์ หากสามารถระบุชื่อผู้เอาประกันตรงกับผู้ที่ใช้รถจริง จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัยโดยแบ่งเป็น 4 ระดับอายุ คือ 18-24 ปี (ได้รับส่วนลด 5 %) 25-35 ปี (ได้รับส่วนลด 10 %) 36-50 ปี (ได้รับส่วนลด 15 %) และอายุ 50 ปีขึ้นไป (ได้รับส่วนลด 20 %)
  • ส่วนลดกลุ่ม บริษัทประกันภัยรถยนต์ส่วนใหญ่ จะมีส่วนลดกลุ่มเพื่อให้ประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์ โดยผู้ถือกรมธรรม์ที่เอาประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัย ตั้งแต่ 3 คันขึ้นไป จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัยกลุ่ม 10% อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขส่วนลดกลุ่มจะขึ้นอยู่กับบริษัทประกันภัยรถยนต์แต่ละแห่งด้วย
  • ความเสียหายส่วนแรกคือ ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายครั้งแรกก่อน เช่น เวลาเกิดอุบัติเหตุ แล้วเราเป็นฝ่ายผิดหรือประมาทร่วม จะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกนี้ในการเคลมประกันทุกครั้ง แต่ถ้าหากเป็นฝ่ายถูกก็ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายตรงส่วนนี้ โดยที่ค่าใช้จ่ายส่วนแรกจะมีตั้งแต่ 1,000 - 5,000 บาท และหากมั่นใจว่าเป็นผู้ขับขี่ปลอดภัยและขับรถดี อาจจะซื้อค่าเสียหายส่วนแรกในปีต่อไปให้สูงขึ้นก็ได้ เพื่อให้เบี้ยประกันถูกลง ตัวอย่างเช่น เบี้ยประกันอยู่ที่ 15,000 บาท แล้วเราตกลงเงื่อนไขค่าความเสียหายส่วนแรกที่ 5,000 บาท เท่ากับว่าเราจะจ่ายเบี้ยประกันปีนั้นแค่ 10,000 บาทเท่านั้น

หากสามารถทำตามคำแนะนำที่เราได้ให้ไว้ รับรองได้เลยว่า ประกันชั้น 1 ที่ราคาสูง จะลดราคาลงมาหลายพันบาทเลยทีเดียว ยิ่งบ้านใครมีรถหลายคัน ปีๆหนึ่งสามารถประหยัดค่าประกันรถได้เป็นหมื่น อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆร่วมด้วย เช่น การบริการในการรับแจ้งเคลม ความรวดเร็วในการเคลม มีอู่ซ่อมรถในเครือรองรับรถยนต์มากน้อยเพียงใด (ถ้าจะให้ดีต้องมีครอบคลุมทั้งประเทศ) ความน่าเชื่อถือของบริษัทประกันรถ โดยเราสามารถศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบประกันรถยนต์ เพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินใจได้ตามเว็บไซต์ของบริษัทนั้นๆ