น้ำท่วม เคลมประกันรถได้ไหม


วันที่เขียน 2019-06-28 20:09:28
วันที่อัพเดทล่าสุด 2019-07-17 23:33:06

ถึงช่วงฤดูฝนทีไร เจ้าของรถหลายคนคงกังวลใจว่าบริเวณที่เราอาศัย สถานที่ทำงาน หรือ การขับรถไปทำงานในแต่ละครั้ง ไม่รู้ว่าจะเจอถนนที่มีน้ำท่วมขังตอนไหน ถ้าเจอแจ็คพ็อตขึ้นมา ก็ต้องมานั่งลุ้นกันอีกว่ารถจะดับหรือเครื่องจะเสียหายตรงไหนบ้าง ค่าเปลี่ยนอะไหล่จะแพงหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ความกังวล เหล่านี้จะหายไปเมื่อทำประกันรถชั้น 1 ที่คลอบคลุมภัยธรรมชาติต่างๆ รวมถึงกรณีของน้ำท่วมด้วย ส่วนในกรณีอื่นๆนั้น จะมีเงื่อนไขอย่างไรกันบ้าง บทความนี้จะพามาดูกัน    

 

แรกเริ่ม เราต้องตรวจดูความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันรถที่เราต่ออายุไว้ทุกปีกันก่อนว่า ประกันรถที่เราทำนั้นได้ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติหรือไม่ ? ซึ่งความคุ้มครองตัวรถที่เอาประกันภัยที่ว่านี้คือ

  • ประกันรถชั้น 1
  • ประกันรถชั้น 2 + บางแพคเกจจะคุ้มครองภัยจากน้ำท่วม (โปรดตรวจสอบความคุ้มครองก่อน ตัดสินใจทำประกัน)
  • ประกันรถชั้น 3 + บางแพคเกจจะคุ้มครองภัยจากน้ำท่วม (โปรดตรวจสอบความคุ้มครองก่อน ตัดสินใจทำประกัน)

ดังนั้น สิ่งที่ต้องรู้ก็คือ มีเพียงแค่ประกันรถยนต์ชั้นที่ 1 เท่านั้น ที่ให้ความคุ้มครองรถของเราในกรณีภัยพิบัติ ซึ่งรวมถึงกรณี “น้ำท่วม” ด้วย ส่วนประกันชั้นอื่นๆ ทั้ง 2+ , 3+ บางแพคเกจ อาจไม่ครอบคลุมหรือครอบคลุมในกรณีน้ำท่วมก็ได้ ฉะนั้น หากใครที่อยู่ในเขตสุ่มเสี่ยงกับน้ำท่วม ควรซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ก็จะอุ่นใจกว่า 

เงื่อนไขการคุ้มครอง 

ความคุ้มครองประกันรถ จะแบ่งความเสียหายจากน้ำท่วมออกเป็น 2 แบบได้แก่ (1) การสูญเสียโดยสิ้นเชิง (2) ความเสียหายบางส่วน

  1. การสูญเสียโดยสิ้นเชิง
  2. ความเสียหายบางส่วน

การพิจารณาค่าสินไหมและเงินทดแทนจะพิจารณาจากความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่น ถ้าเครื่องยนต์เสียหายหนักมากหรือไม่สามารถซ่อมแซมได้ โดยทั่วไปบริษัทประกันอาจจะพิจารณามูลค่าความเสียหายประมาณ 70 – 80 % ของทุนประกันรถ เพื่อเป็นการขอซื้อซากรถ แต่ในกรณีนี้คือ ท่วมถึงแผงคอนโซลหน้ารถ หรือ มิดคัน จนไม่คุ้มที่จะซ่อมให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงที่เกิดอุทกภัยใหญ่ๆอย่างเช่นปี 2554 เป็นต้น 

หากรถยนต์ได้รับความเสียหายเพียงบางส่วน เช่น ท่วมมิดล้อ บริษัทประกันรถก็จะประเมินค่าความเสียหายนั้น และออกค่าสินไหมทดแทนให้ ในกรณีนี้รวมถึงเคสที่น้ำท่วมพื้นรถ ต้องซักพรมหรือทำความสะอาดเบาะ นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขความคุ้มครองสิ่งที่เกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย และทรัพย์สินโดยจะมีมูลค่าตามแต่บริษัทประกันตั้งไว้ต่อครั้ง ต่อคน

ที่มารูปภาพ pixabay.com

ขั้นตอนการติดต่อ 

เมื่อขับ ๆ ไปแล้ว รถเกิดอาการแปลก ๆ จนไม่สามารถขับต่อได้ ให้พยายามนำรถขึ้นสู่พื้นที่สูง (อย่างน้อยขอให้น้ำไม่กระเพื่อมตีใต้ท้องรถ เพราะเวลาเราเปิดประตู น้ำจะซึมเข้ามาที่พื้นรถได้) จากนั้นโทรแจ้งบริษัทประกันรถหรือโบรกเกอร์ประกัน เพื่อส่งเจ้าหน้าที่มาประเมินความเสียหาย ระหว่างรอก็โทรแจ้งผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น เพื่อนในที่ทำงาน ฝ่าย HR เพื่อให้เขาไม่ต้องเป็นกังวลว่าทำไมเราถึงสายหรือเกิดอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางมาหรือเปล่า   

เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึง หากพิจารณาแล้วรถยนต์เสียหายเพียงบางส่วน และพอขับรถต่อได้ ทางเจ้าหน้าที่จะออกใบเคลม เพื่อให้เรานำรถไปซ่อม แต่ถ้าดูทรงแล้ว เสียหายมากจนไม่สามารถขับได้ เจ้าหน้าที่จะแจ้งเรื่องไปยังบริษัทประกันให้ทราบ และทางเราก็รอรับค่าเสียหายจากบริษัทประกัน ซึ่งทางบริษัทจะหักลบจากความเสื่อมสภาพของรถด้วย เช่น ถ้าระบุว่า จะได้รับค่าสินไหมจำนวนหนึ่ง เราอาจจะได้รับจริง ๆ 70 - 80% หากทางบริษัทประกันพิจารณาว่า รถของเราผ่านการใช้งานมาแล้วระยะหนึ่ง ซึ่งค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทประกันแต่ละเจ้า และสภาพรถยนต์ของเรา ดังนั้น ก่อนทำประกันควรอ่านรายละเอียดในข้อนี้ให้ถี่ถ้วนด้วย 

ที่มารูปภาพ pixabay.com

Tip: หากรถของเราเกิดดับแช่น้ำอยู่แบบนั้น ก็อย่าได้ตกใจหรือนั่งร้องไห้เสียใจไป แต่ควรมีสติและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรแจ้งหาบริษัทประกันรถยนต์ก่อน เพื่อให้มาตรวจสอบดูว่า กรมธรรม์ของเราเป็นประเภทไหน? ครอบคลุมความเสียหายจากภัยธรรมชาติอย่างน้ำท่วมได้หรือเปล่า แล้วรอพนักงานเคลมประกันมาหา เขาจะประสานงานเรื่องรถยก รถลากให้เราเอง 

ในช่วงฤดูฝนนี้ เมื่อฝนตกแล้วทำท่าว่าจะท่วมหนัก ลองขอที่ออฟฟิศทำงานจากบ้านช่วงเช้าก่อน แล้วพอสาย ๆ น้ำลด ก็ค่อยขับรถไปที่ออฟฟิศ แต่ถ้าใครมีธุระที่จะต้องไปจริง ๆ เตรียมพร้อมไว้ก่อนจะดีกว่า เพราะเรื่องภัยธรรมชาติเป็นเรื่องที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เราไม่มีทางคาดเดาได้เลยว่ามันจะร้ายแรงขึ้นมาเมื่อไหร่ อากาศแปรปรวนแบบวันเดียวครบสามฤดูแบบนี้ จู่ ๆ ฝนจะตกลงมา น้ำจะท่วมถนนเส้นที่ใช้เป็นประจำหรือไม่ ต้องรอระบายนานเท่าไหร่ ไม่มีใครทราบได้ เอาเป็นว่าไม่ประมาทไว้ก่อนจะดีที่สุด 

ในเมื่อเรามีบทเรียนจากอุทกภัยครั้งใหญ่ปี 2554 พื้นที่ที่คิดว่าจะไม่ท่วมก็จมบาดาลกันมาแล้ว การทำประกันรถเพื่อคุ้มครองภัยจากน้ำท่วม จึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น ลองศึกษาและเปรียบเทียบรายละเอียดประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่คุ้มครองกรณีน้ำท่วม ตลอดจนภัยธรรมชาติอื่น ๆ รับรองว่าจะต้องมีประกันรถที่เหมาะกับรถของเราอย่างแน่นอน